หน้าเว็บ

บทสวดอนัตตลักขณสูตร พร้อมคำแปล

อนัตตลักขณสูตร
(สูตรที่ทำให้ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์)

(หันทะ มะยัง อะนัตตะลักขะณะสุตตะปาฐัง ภะณามะ เส)

เอวัมเม สุตัง, ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์เถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้
เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, พาราณะสิยัง วิหะระติ, อิสิปะตะเน มิคะทาเย, สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า, ประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณสี
ตัตตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ, ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสเรียกภิกษุเบญจวัคคีย์ แล้วตรัสว่า

รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่ตัวตน, รูปัญ จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ถ้าหากว่ารูปนี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้, รูปนี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ, ลัพเภถะ จะ รูเป, เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ, ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในรูปว่า, ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสสะมา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อะนัตตา, ก็เพราะเหตุที่รูปมิใช่ตัวตน, ตัสสะมา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะติ, ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ, นะ จะ ลัพภะติ รูเป, เอวัง เม รูปังโหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า, ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

เวทะนา อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย เวทนามิใช่ตัวตน, เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ก็หากเวทนานี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้, นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ, ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ, เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ, ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสสะมา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา, ก็เพราะเหตุที่เวทนามิใช่ตัวตน, ตัสสะมา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ, ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ, นะ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ, เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า, ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

สัญญา อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย สัญญามิใช่ตัวตน, สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ก็หากสัญญานี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้, นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ, ลัพเภถะ จะ สัญญายะ, เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ, ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสสะมา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา, ก็เพราะเหตุที่สัญญามิใช่ตัวตน, ตัสสะมา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ, ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ, นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ, เอวัง เม สัญญาโหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า, ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

สังขารา อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย สังขารมิใช่ตัวตน, สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ, ก็หากสังขารนี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้, นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง, ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ, ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ, เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ, ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสสะมา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา, ก็เพราะเหตุที่สังขารมิใช่ตัวตน, ตัสสะมา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ, ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ, นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ, เอวัง เม สังขารา โหตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า, ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

วิญญานัง อะนัตตา, ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณมิใช่ตัวตน, วิญญาณัญ จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, ก็หากวิญญาณนี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้, นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ, ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ, เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ, ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
ยัสสะมา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา, ก็เพราะเหตุที่วิญญาณมิใช่ตัวตน, ตัสสะมา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ, ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ, นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ, เอวัง เม วิญญาณังโหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ, และไม่ได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า, ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ, ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน, รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง,
อะนิจจัง ภันเต, ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า,
ทุกขัง ภันเต, เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัสสะมิ เอโส เม อัตตาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า, นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา,
โนเหตัง ภันเต, ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ, ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน, เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง,
อะนิจจัง ภันเต, ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า,
ทุกขัง ภันเต, เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัสสะมิ เอโส เม อัตตาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า, นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา,
โนเหตัง ภันเต, ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ, ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน, สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง,
อะนิจจัง ภันเต, ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า,
ทุกขัง ภันเต, เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัสสะมิ เอโส เม อัตตาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า, นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา,
โนเหตัง ภันเต, ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า


ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ, ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน, สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง,
อะนิจจัง ภันเต, ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า,
ทุกขัง ภันเต, เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัสสะมิ เอโส เม อัตตาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า, นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา,
โนเหตัง ภันเต, ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า


ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ, ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน, วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง,
อะนิจจัง ภันเต, ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า,
ทุกขัง ภันเต, เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
ยัม ปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัสสะมิ เอโส เม อัตตาติ, ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์, มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา, ควรหรือหนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า, นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา,
โนเหตัง ภันเต, ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

ตัสสะมา ติหะ ภิกขะเว, ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ,
ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง, รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง, ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, เป็นภายในหรือภายนอก, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, หยาบหรือละเอียด, เลวหรือประณีต, ยัน ทูเร สันติเก วา, ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้, สัพพัง รูปัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัสสะมิ นะ เมโส อัตตาติ, เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง, รูปทั้งหมดนั้น, เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง, ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, เป็นภายในหรือภายนอก, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, หยาบหรือละเอียด, เลวหรือประณีต, ยัน ทูเร สันติเก วา, ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้, สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสสะมิ นะ เมโส อัตตาติ, เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง, เวทนาทั้งหมดนั้น, เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง, ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, เป็นภายในหรือภายนอก, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, หยาบหรือละเอียด, เลวหรือประณีต, ยัน ทูเร สันติเก วา, ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้, สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสสะมิ นะ เมโส อัตตาติ, เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง, สัญญาทั้งหมดนั้น, เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

เย เกจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง, ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, เป็นภายในหรือภายนอก, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, หยาบหรือละเอียด, เลวหรือประณีต, ยัน ทูเร สันติเก วา, ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้, สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสสะมิ นะ เมโส อัตตาติ, เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง, สังขารทั้งหมดนั้น, เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง, วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง, ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, เป็นภายในหรือภายนอก, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, หยาบหรือละเอียด, เลวหรือประณีต, ยัน ทูเร สันติเก วา, ทั้งที่อยู่ไกลหรือใกล้, สัพพัง วิญญาณัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัสสะมิ นะ เมโส อัตตาติ, เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง, วิญญาณทั้งหมดนั้น, เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า, นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุตะวา อะริยะสาวะโก, ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ผู้ได้สดับแล้ว เห็นอย่างนี้,
รูปัสะมิงปิ นิพพินทะติ, ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป, เวทะนายะปิ นิพพินทะติ, แม้ในเวทนา, สัญญายะปิ นิพพินทะติ, แม้ในสัญญา, สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ, แม้ในสังขาร, วิญญาณัสะมิงปิ นิพพินทะติ, แม้ในวิญญาณ, นิพพินทัง วิรัชชะติ, เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด, วิราคา วิมุจจะติ, เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น,
วิมุตตัสะมิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ, เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว, ขีณา ชาติ, วุสิตัง พรัหมะจะริยัง กะตัง กะระณียัง, นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ, รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว, กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิมี,

อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอนันตลักขณสูตรนี้ จบลงแล้ว,
อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง, ภิกษุปัญจะวัคคีย์ต่างมีใจยินดี, ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า,
อิมัสสะมิญจะ ปะนะ เวยยา กะระณัสสะมิง ภัญญะมาเน, ก็ขณะเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังตรัสเทศนาภาษิตนี้อยู่,
ปัญจะ วัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ, อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ. ภิกษุปัญจวัคคีย์ ก็มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ, เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่น ด้วยอุปาทาน, ดังนี้แล

---------------------------------------------

คัดลอกและเรียบเรียงจาก

หนังสือคู่มือพุทธบริษัท ฉบับสมบูรณ์
สำนักพิมพ์ธรรมสภา

หนังสือสวดมนต์ ทำวัตรเช้า-เย็น
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น