พุทธศาสนสุภาษิต รวบรวม และจัดทำโดย..พระมหาทองสมุทร ธมฺมาทโร 
พระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ ๑๒  วัดนวมินทร์ ฯ บอสตัน 
(ทำเมื่อ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๑) ก่อนเดินทางกลับไปเยี่ยมไทย ๑ วัน  | 
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนํ | คนขยัน ย่อมหาทรัพย์ได้ | 
| พาโล อปริณายโก | คนโง่ คนพาล ไม่ควรเป็นผู้นำ | 
| อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ | ตนเป็นที่พึ่งของตน | 
| ปญฺญาว ธเนน เสยฺโย | ปัญญาย่อมประเสริฐกว่าทรัพย์ | 
| อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย | ชนะตนนั่นแหละประเสริฐกว่า | 
| ยถาวาที ตถาการี | พูดอย่างไร ทำได้อย่างนั้น | 
| สจฺจํ เว อมตา วาจา | คำจริงเป็นสิ่งไม่ตาย | 
| อิณาทานํ ทุกขํ โลเก | การกู้หนี้ เป็นทุกข์ในโลก | 
| อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา | บัญฑิตย่อมฝึกตน | 
| ททมาโน ปิโย โหติ | ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก | 
| หมวดที่ 2 “หมวดบุคคล” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ธมฺมเทสฺสี ปราภโว | ผู้เกลียดธรรม เป็นผู้เสื่อม | 
| ปริภูโต มุทุ โหติ อติติกฺโข จ เวรวา | อ่อนไปก็ถูกเขาหมิ่น แข็งไปก็มีภัยเวร | 
| นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต | ผู้ไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลก | 
| ทุวิชาโน ปราภโว | ผู้มีความรู้ในทางชั่ว เป็นผู้เสื่อม | 
| สุวิชาโน ภวํ โหติ | ผู้มีความรู้ในทางที่ดี เป็นผู้เจริญ | 
| โจรา โลกสฺมิมพฺพุทา | พวกโจรเป็นเสนียดของโลก | 
| ธมฺมกาโม ภวํ โหติ | ผู้ชอบธรรม เป็นผู้เจริญ | 
| ครุ โหติ สคารโว | ผู้เคารพผู้อื่น ย่อมมีผู้เคารพตนเอง | 
| ผาตึ กยิรา อวิเหฐยํ ปรํ | ควรทำแต่ความเจริญ อย่าเบียดเบียนผู้อื่น | 
| สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ | ความซื่อสัตย์นั่นแล | 
| หมวดที่ 3 “หมวดการศึกษา” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| หินชจฺโจปิ เจ โหติ อุฏฺฐาตา ธิติมา นโรอาจารสีลสมฺปนฺโน นิเส อคฺคีว ภาสติ | คนเราถึงมีชาติกำเนิดต่ำ แต่หากขยันหมั่น เพียร มีปัญญาประกอบด้วยอาจาระ และ ศีล ก็รุ่งเรืองได้ เหมือนไฟถึงอยู่ในคืนมืดก็สว่างไสว | 
| โน เจ อสฺส สกา พุทฺธิ วินโย วา สุสิกฺขิโต วเน อนฺธมหึโสว จเรยฺย พหุโก ชโน | ถ้าไม่มีพุทธิปัญญา แลมิได้ศึกษาระเบียบ วินัยคนทั้งหลายก็จะดำเนินชีวิต เหมือนดัง กระบือบอดในกลางป่า | 
| สากจฺฉาย ปญฺญา เวทิตพฺพา | ความมีปัญญา ย่อมรู้ได้จากการสนทนา | 
| ปุตฺเต วิชฺชาสุ ฐาปย | บิดามารดา พึงให้บุตรเรียนศิลปวิทยา | 
| โยคา เว ชายเต ภูริ | ปัญญา ย่อมเกิดขึ้น เพราะการฝึกฝน | 
| ปญฺญาว ธเนน เสยฺโย | ปัญญานั่นแหละ ประเสริฐกว่าทรัพย์ | 
| สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ | ผู้ตั้งใจศึกษา ย่อมได้ปัญญา | 
| ปญฺญา นรานํ รตนํ | ปัญญาเปรียบเสมือน เครื่องประดับแห่งตน | 
| ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต | ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก | 
| อวิทฺทสู มารวสานุวตฺติโน | คนโง่ มักตกอยู่ในอำนาจ แห่งมาร | 
| หมวดที่ 4 “หมวดวาจา” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| วาจํ ปมุญเจ กุสลํ นาติเวลํ | ไม่ควรเปล่งวาจาที่ดี ให้เกินแก่ควรกาล | 
| พทฺธาปิ ตตฺถ มุจฺจนฺติ ยตฺถ ธีรา ปภาสเร | คนมีปัญญา แม้มีปัญหา และ ถูกผูกมัดอยู่ พอพูดในเรื่องใด ก็หลุดได้ในเรื่องนั้น | 
| หทยสฺส สทิสี วาจา | ว า จ า เ ช่ น เ ดี ย ว กั บ ใ จ | 
| น หิ มุญเจยฺย ปาปิกํ | ไม่ควรเปล่งวาจาที่ชั่วเลย | 
| อพทฺธา ตตฺถ พชฺฌนฺติ | คนพาลที่ยังไม่ถูกผูกมัด แต่พอพูดในเรื่องใด ก็ถูกผูกมัดตัวในเรื่องนั้น | 
| มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ | คนกล่าววาจาชั่ว ย่อมเดือดร้อน | 
| มนุญฺญเมว ภาเสยฺยํ | ควรกล่าวแต่วาจา ที่น่าพอใจ | 
| ทุฏฺฐสฺส ผรุสา วาจา | คนโกรธมีวาจาหยาบ | 
| สจฺจํ เว อมตา วาจา | คำสัตย์ แลเป็นวาจาที่ไม่ตาย | 
| อภูวาที นิรยํ อุเปติ | คนพูดไม่จริง ย่อมเข้าถึงนรก | 
| หมวดที่ 5 “หมวดความอดทน” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ขนฺติ ตโป ตปสฺสิโน | ความอดทน เป็นตปะ ( ต บ ะ ) ของผู้พากเพียร | 
| ขนฺติ หิตสุขาวหา | ความอดทน นำมาซึ่งประโยชน์สุข | 
| ขนฺติ ธีรสฺสลงฺกาโร | ความอดทน เป็นเครื่องประดับ ของนักปราชญ์ | 
| ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา | ขันติ คือความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง | 
| ขนฺติ พลํ ว ยตีนํ | ความอดทน เป็นกำลัง ของนักพรต | 
| ขนฺติ สาหสวารณา | ความอดทน ห้ามไว้ได้ซึ่ง ความผลุนผลัน | 
| ขนฺติพลา สมณพราหมณา | สมณพรามหณ์ มีความอดทนเป็นกำลัง | 
| มนาโป โหติ ขนฺติโก | ผู้มีความอดทน ย่อมเป็นที่ชอบใจของบุคคลอื่น | 
| เกวลานํปิ ปาปานํ ขนฺติ มูลํ นิกนฺตติครหกลหาทีนํ มูลํ ขนฺติ ขนฺติโก | ความอดทน ย่อมตัดรากแห่งบาปทั้งสิ้น , ผู้มีขันติ ชื่อว่า ย่อมขุดรากแห่งความ ติเตียน และ การทะเลาะกันได้ เป็นต้น | 
| ขนฺติโก เมตฺตวา ลาภี ยสสฺสี สุขสีลวาปิโย เทวมนุสฺสานํ มนาโป โหติ ขนฺติโก | ผู้มีความอดทน นับว่ามีเมตตา มีลาภ มียศ และ มีสุขเสมอ , ผู้มีความอดทน ย่อมเป็นที่รัก ชอบใจของเทวดา และ มนุษย์ทั้งหลาย | 
| หมวดที่ 6 “หมวดความเพียร” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ขโณ โว มา อุปจฺจคา | อย่าปล่อยกาลเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์ | 
| หิยฺโยติ หิยฺยติ โปโส ปเรติ ปริหายติ | คนที่ผลัดวันว่าพรุ่งนี้ ย่อมเสื่อม ยิ่งผลัดว่ามะรืนนี้ ก็ยิ่งเสื่อม | 
| กาลคตญฺจ น หาเปติ อตฺถํ | คนขยัน พึงไม่ให้ประโยชน์ที่มาถึงแล้วผ่านไปโดยเปล่า | 
| โภคา สนฺนิตยํ ยนฺติ วมฺมิโกวูปจียติ | ค่อยๆ เก็บรวบรวมทรัพย์ ดังปลวกก่อจอมปลวก | 
| อตีตํ นานฺวาคเมยฺนย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ | อย่ารำพึงถึงความหลัง อย่ามัวหวังถึงอนาคต | 
| อโหรตฺตมตนฺทิตํ ตํ เว ภทฺเทกรตฺโตติ | คนขยันทั้งคืนทั้งวัน จักไม่ซึมเซา เรียกว่าแต่ละวันมีแต่นำโชค | 
| อสเมกฺขิตกมฺมนฺตํ ตุริตาภินิปาตินํตานิ กมฺมานิ ตปฺเปนฺติ อุณฺหํ วชฺโฌหิตํ มุเข | ผู้ที่ทำการงานลวกๆ โดยมิได้พิจารณาใคร่ครวญให้ดี เอาแต่รีบร้อนพรวดพราดจะให้เสร็จ การงานเหล่านั้น ก็จะก่อความเดือดร้อนให้ เหมือนตักอาหารที่ยังร้อนใส่ปาก | 
| อชฺช สุวติ ปุริโส สทตฺทํ นาวพุชฺฌติโอวชฺชมาโน กุปฺปติ เสยฺยโส อติมญฺญติ ฯลฯ | คนที่ไม่รู้จักประโยชน์ตนว่า อะไรควรทำวันนี้ อะไรควรทำพรุ่งนี้ ใครตักเตือนก็โกรธ เย่อหยิ่ง ถือดีว่า ฉันเก่ง ฉันดี คนอย่างนี้ เป็นที่ชอบใจของ กาฬกิณี | 
| โกสชฺชํ ภยโต ทิสฺวา วิริยารมฺภญฺจ เขมโตอารทฺธวิริยา โหถ เอสา พุทฺธานุสาสนี | ท่านทั้งหลายจงเห็นความเกียจคร้านว่าเป็นภัย และเห็นการปรารภความเพียรว่าเป็นความปลอดภัย แล้วปรารภความเพียรเถิด นี้เป็น พุทธานุศาสนี | 
| หิยฺโยติ หิยฺยติ โปโส ปเรติ ปริหายติอนาคตํ เนตมตฺถีติ ญตฺวาอุปฺปนฺนจฺฉนฺทํ โก ปนุเทยฺย ธีโร | มัวรำพึงถึงความหลัง ก็มีแต่จะหดหาย มัวหวังวันข้างหน้า ก็มีแต่จะละลาย อันใดยังไม่มาถึง อันนั้นก็ยังไม่มี รู้อย่างนี้แล้ว เมื่อมีฉันทะเกิดขึ้น คนฉลาดที่ไหนจะปล่อยให้หายไปเปล่า | 
| หมวดที่ 7 “หมวดความโกรธ” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| โกธํ ทเมน อุจฺฉินฺเท | พึงตัดความโกรธด้วยความข่มใจ | 
| โกโธ สตฺถมลํ โลเก | ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก | 
| โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ | ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข | 
| โกธํ ปญฺญาย อุจฺฉินฺเท | พึงตัดความโกรธด้วยปัญญา | 
| โกธสมฺมทสมฺมตฺโต อายสกฺยํ นิคจฺฉติ | ผู้เมามึนด้วยความโกรธ ย่อมถึงความไร้ยศศักดิ์ | 
| ยํ กุทฺโธ อุปโรเธติ สุกรํ วิย ทุกฺกรํ | ผู้โกรธจะผลาญสิ่งใด สิ่งนั้นทำยากก็เหมือนทำง่าย | 
| อนตฺถชนโน โกโธ | ความโกรธก่อความพินาศ | 
| ทุกฺขํ สยติ โกธโน | คนมักโกรธ ย่อมอยู่เป็นทุกข์ | 
| อปฺโป หุตฺวา พหุ โหติ วฑฺฒเต โส อขนฺติโช | ความโกรธน้อยแล้วมาก มันเกิดจากความไม่อดทน จึงทวีขึ้น | 
| ปจฺฉา โส วิคเต โกเธ อคฺคิทฑฺโฒว ตปฺปติ | ภายหลังเมื่อความโกรธหายแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้ | 
| หมวดที่ 8 “หมวดการชนะ” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ | การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง | 
| สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ | รสแห่งธรรมะ ย่อมชนะรสทั้งปวง | 
| ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ | ความสิ้นตัณหา ย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง | 
| ชิเน กทริยํ ทาเนน | พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ | 
| ชยํ เวรํ ปสวติ | ผู้ชนะ ย่อมก่อเวร | 
| อสาธํ สาธุนา ชิเน | พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี | 
| อกฺโกเธน ชิเน โกธํ | พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ | 
| ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยติ | ความชนะใดที่ชนะแล้วไม่กลับแพ้ ความชนะนั้นดี | 
| สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ | ความยินดีในธรรมะ ย่อมชนะความยินดีทั้งปวง | 
| น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ. | ความชนะใดที่ชนะแล้ว กลับแพ้ได้ ความชนะนั้นไม่ดี | 
| หมวดที่ 9 “หมวดความประมาท” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ปมาโท รกฺขโต มลํ | ความประมาท เป็นมลทินของผู้รักษา | 
| เย ปมตฺตา ยถา มตา | ผู้ประมาท เหมือนคนตายแล้ว | 
| ปมาเทน น สํวเส | ไม่ควรสมคบด้วยความประมาท | 
| ปมาทมนุยุญฺชนฺติ พาลา ทุมฺเมธิโน ชนา | คนพาลมีปัญญาทราม ย่อมประกอบแต่ความประมาท | 
| เต ทีฆรตฺตํ โสจนฺติ เย ปมชฺชนฺติ มาณวา | คนประมาท ย่อมเศร้าโศกสิ้นกาลนาน | 
| ยาวเทว อนตฺถาย ญตฺตํ พาลสฺส ชายติ | ความรู้เกิดแก่คนพาล ก็เพียงเพื่อความฉิบหาย, | 
| หนฺติ พาลสฺส สุกฺกํสํ มุทฺธํ อสฺส วิปาตยํ | มันทำสมองของเขาให้เขว, ย่อมฆ่าส่วนที่ขาวของคนพาลเสีย | 
| โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุปฺปญฺโญ อสมาหิโต | ผู้ใดมีปัญญาทราม มีใจไม่มั่นคง พึงเป็นอยู้ตั้งร้อยปี, | 
| เอกาหฺ ชีวิตํ เสยฺโย ปญฺญวนฺตสฺส ฌายิโน | ส่วนผู้มีปัญญาเพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวประเสริฐกว่า | 
| โย จ ปุพฺเพ ปมชฺชิตฺวา ปจฺฉา โส นปฺปมชฺชติ | เมื่อก่อนประมาท ภายหลังไม่ประมาท เขาชื่อว่ายังโลกนี้ให้สว่าง | 
| โสมํ โลกํ ปภาเสติ อพฺภา มุตฺโต ว จนฺทิมา | เหมือนพระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น | 
| ยญฺหิ กิจฺจํ ตทปวิทฺธํ อกิจฺจํ ปน กยีรติ | คนทอดทิ้งกิจที่ควรทำ ไปทำกิจที่ไม่ควรทำ | 
| อุนฺนฬานํ ปมตฺตานํ เตสํ วฑฺฒนฺติ อาสวา | เมื่อเขาถือตัวประมาท อาสวะย่อมเจริญ | 
| พหุมฺปิ เจ สํหิต ภาสมาโน | หากกล่าวพุทธพจน์ได้มาก แต่เป็นคนประมาท | 
| น ตกฺกโร โหติ นโร ปมตฺโต | ไม่ทำตามพุทธพจน์นั้น ก็ไม่มีส่วนแห่งสามัญญผล | 
| โคโปว คาโว คณยํ ปเรสํ | เหมือนคนเลี้ยงโค คอยนับโคให้ผู้อื่นฉะนั้น | 
| น ภาควา สามญฺญฺสฺส โหติ | |
| หมวดที่ 10 “หมวดความไม่ประมาท” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| อปฺปมตฺตา น มียนฺติ | ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย | 
| อปฺปมาทรตา โหถ | ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาท | 
| อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ | บัณฑิตย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท | 
| อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ | บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมได้รับประโยชน์ทั้งสอง | 
| อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต | ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์ | 
| อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏฺฐฺ รกฺขติ | ปราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนทรัพย์ประเสริฐสุด | 
| อปฺปมาทรโต ภิกฺขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา สญฺโญชนํ อณํ ถูลํ ฑหํ อคฺคีว คจฺฉติ | ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือ เห็นภัยในความประมาท ย่อมเผาสังโยชน์น้อยใหญ่ไป เหมือนไฟไหม้เชื้อน้อยใหญ่ไปฉะนั้น | 
| อปฺปมาทรโต ภิกขุ ปมาเท ภยทสฺสิ วา อภพฺโพ ปริหานาย นิพพานสฺเสว สนฺติเก | ภิกษุยินดีในความไม่ประมาท หรือ เห็นภัยในความประมาท เป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะเสื่อม ชื่อว่าอยู่ใกล้พระนิพพานทีเดียว | 
| อวํวิหารี สโต อปฺปมตฺโต ภิกฺขุ จรํ หิตฺวา มมายิตานิ ชาติชรํ โสกปริทฺทวญฺจ อิเธว วิทฺวา ปชเหยฺย ทุกฺขํ | ภิกษุผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ มีสติ ไม่ประมาท ละความถือมั่นว่าของเราได้แล้วไปเที่ยวไป เป็นผู้รู้ พึงละชาติ ชรา โสกะ ปริเทวะ และทุกข์ ในโลกนี้ได้ | 
| อุฏฺฐฺานวโต สติมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน สญฺญฺตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ | ยศย่อมเจริญแก่ผู้มีความหมั่น มีสติ มีการงานสะอาด ใคร่ครวญแล้วทำ ระวังดีแล้ว เป็นอยู่โดยธรรม และไม่ประมาท | 
| หมวดที่ 11 “หมวดตน-การฝึกตน” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| อตฺตานํ ทมยนฺติ สุพฺพตา | ผู้ประพฤติดี ย่อมฝึกตนอยู่เป็นนิจ | 
| อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย | ชนะตนนั่นแหละ เป็นดี | 
| ลพฺภา ปิยา โอจิตฺเตน ปจฺฉา | ตระเตรียมตนให้ดีเสียก่อนแล้ว ต่อไปจะได้สิ่งอันเป็นที่รัก | 
| ยทตฺตครหิ ตทกุพฺพมาโน | ติตนเองเพราะเหตุใด ไม่ควรทำเหตุนั้น | 
| สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ | ความบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ เป็นของเฉพาะตัว | 
| สทตฺถปสุโต สิยา | พึงขวนขวายในเป้าหมายของตน | 
| นาญฺญํ นิสฺสาย ชีเวยฺย | ไม่พึงอาศัยผู้อื่นยังชีพ | 
| กลฺยาณํ วต โภ สกฺขิ อตฺตานํ อติมญฺญสิ | ท่านเอ๋ย ! ท่านก็สามารถทำดีได้ ไยจึงมาดูหมิ่นตัวเองเสีย | 
| สนาถา วิหรถ มา อนาถา | จงอยู่อย่างมีหลักยึดเหนี่ยวใจ อย่าเป็นคนไร้ที่พึ่ง | 
| ปเรสํ หิ โส วชฺชานิ โอปุนาติ ยถาภุสํ อตฺตโน ปน ฉาเทติ กลึว กิตวา สโฐ | โทษคนอื่นเที่ยวกระจาย เหมือนโปรยแกลบ แต่โทษตนปิดไว้ เหมือนพรานนกเจ้าเล่ห์แฝงตัวบังกิ่งไม้ | 
| หมวดที่ 12 “หมวดมิตร” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ปาปมิตฺโต ปาปสโข ปาปอาจารโคจโร | มีมิตรเลว มีเพื่อนเลว ย่อมมีมารยาทเลว และที่เที่ยวเลว | 
| อตฺถมฺหิ ชาตมฺหิ สุขา สหายา | เมื่อความต้องการเกิดขึ้น สหายเป็นผู้นำสุขมาให้ | 
| สพฺพตฺถ ปูชิโต โหติ โย มิตฺตานํ น ทุพฺภติ | ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง | 
| มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร | มารดาเป็นมิตรในเรือนตน | 
| พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร | มารดาบิดา ท่านเรียกว่าเป็นพรหม | 
| วิสฺสาสปรมา ญาติ | คนคุ้นเคย ไว้ใจกันได้ เป็นญาติอย่างยิ่ง | 
| สตฺโถ ปวสโต มิตฺตํ | หมู่เกวียน เป็นมิตรของคนเดินทาง | 
| สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ จเรยฺย เตนตฺตมโน สติมา | ถ้าได้สหายเป็นผู้รอบคอบ พึงพอใจและมีสติเที่ยวไปกับเขา | 
| มิตฺตทุพฺโก หิ ปาปโก | ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้ | 
| ภริยา ปรมา สขา | ภริยาเป็นเพื่อนสนิท | 
| หมวดที่ 13 “หมวดการคบหา” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ยํ เว เสวติ ตาทิโส | คบคนเช่นใด ย่อมเป็นคนเช่นนั้น | 
| ภเชถ มิตฺเต กลฺยาเณ | ควรคบมิตรที่ดี | 
| มิตฺตสฺมิมฺปิ น วิสฺสเส | แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้ใจ | 
| โหติ ปานสขา นาม | เป็นเพื่อน เพียงเพื่อดื่มเหล้าก็มี | 
| นิหียติ ปุริโส นิหีนเสวี | ผู้คบคนเลว ย่อมพลอยเลวไปด้วย | 
| อเปตจิตฺเตน น สมฺภเชยฺย | เมื่อเขาไม่มีเยื่อใย ป่วยการอยู่กินด้วย | 
| มาสฺสุ พาเลน สงฺคจฺฉิ อมิตฺเตเนว สพฺพทา | อย่าสมาคมกับคนพาลซึ่งเป็นดังศัตรูทุกเมื่อ | 
| ยตฺถ เวรี นิวีสติ น วเส ตตฺถ ปณฺฑิโต | โจรพาลอยู่ในที่ใด บัณฑิตไม่ควรอยู่ในที่นั้น | 
| เสยฺยํโส เสยฺยโส โหติ โย เสยฺยมุปเสวติ | คบคนดี ก็พลอยมีส่วนดีด้วย | 
| เสฏฺฐมุปคมญฺจ อุเทติ ขิปฺปํ | เมื่อคบคนที่ดีกว่า ตัวเองก็ดีขึ้นมาฉับพลัน | 
| หมวดที่ 14 “หมวดการสร้างตัว” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ธมฺเมน วิตฺตเมเสยฺย | บุคคลพึงหาเลี้ยงชีพ โดยทางชอบธรรม | 
| ปโยชเย ธมฺมิกํ โส วณิชฺชํ | บุคคลพึงประกอบการค้าที่ชอบธรรม | 
| น นิกตฺยา ธนํ หเร | บุคคลไม่พึงหาทรัพย์ด้วยการคดโกง | 
| อลาโภ ธมฺมิโก เสยฺโย ยญฺเจ ลาโภ อธมฺมิโก | ถึงไม่ได้ แต่ชอบธรรม ยังดีกว่าได้โดยไม่ชอบธรรม | 
| ปฏิรูปการี ธุรวา อุฏฺฐาตา วินฺทเต ธนิ | ขยัน เอาธุระ ทำเหมาะจังหวะ ย่อมหาทรัพย์ได้ | 
| โภคา สนุนิจยํ ยนฺติ วมฺมิโกวูปจียติ | ทรัพย์สินย่อมพอกพูนขึ้นได้ เหมือนดังก่อจอมปลวก | 
| อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ | การงานไม่คั่งค้างสับสน เป็นมงคลอย่างสูงสุด | 
| น หิ จินฺตามยา โภคา อิตฺถิยา ปุริสสฺส วา | โภคะของใคร ไม่ว่าสตรีหรือบุรุษ ที่จะสำเร็จเพียงด้วยคิดเอา ย่อมไม่มี | 
| สกมฺมุนา โหติ ผลูปปตฺติ | ความอุบัติแห่งผล ย่อมมีได้ด้วยการกระทำของตน | 
| ยหึ ชีเว ตหึ คจฺเฉ น นิเกตหโต สิยา | ชีวิตจะอยู่ได้ที่ไหน พึงไปที่นั้น ไม่พึงให้ที่อยู่ฆ่าตนเสีย | 
| หมวดที่ 15 “หมวดการปกครอง” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| มา มโท ภรตูสภ | ผู้มีภาระปกครองรัฐ จงอย่าได้ประมาทเลย | 
| สพฺพํ รฏฺฐํ สุขํ เสติ ราชา เจ โหติ ธมฺมิโก | ถ้าผู้ปกครองทรงธรรม ประเทศชาติก็เป็นสุข | 
| สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขํ | การอยู่ในอำนาจของผู้อื่น เป็นทุกข์ทั้งสิ้น | 
| สงฺเกยฺย สงฺกิตพฺพานิ | พึงระแวง สิ่งที่ควรระแวง | 
| สาธุ ธมฺมรุจี ราชา | ผู้ปกครองชอบธรรมจึงจะดี | 
| ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ | พึงยกย่องคนที่ควรยกย่อง | 
| ปมาทา ชายเต ขโย | เมื่อมีความประมาท ก็เกิดความเสื่อม | 
| ขยา ปโทสา ชายนฺติ | เมื่อมีความเสื่อม ก็เกิดโทษประดัง | 
| สกฺกาโร กาปุริสํ หนฺติ | สักการะฆ่าคนชั่วได้ | 
| รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ | พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง | 
| หมวดที่ 16 “หมวดสามัคคี” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| สุขา สงฺฆสฺส สามคฺคี | สามัคคีของหมู่ทำให้เกิดสุข | 
| สมคฺคา สขิลา โหถ | จงสามัคคีมีน้ำใจต่อกัน | 
| สมคฺคานํ ตโป สุโข | ความเพียรของหมู่ชน ผู้พร้อมเพรียงกันทำให้เกิดสุข | 
| สูกเรหิ สมคฺเคหิ พฺยคฺโฆ เอกายเน หโต | สุกรทั้งหลายพร้อมเพรียงกันยังฆ่าเสื้อโคร่งได้ เพราะใจรวมเป็นอันเดียว | 
| สามคฺยเมว สิกฺเขถ พุทฺเธเหตํ ปสํสิตํ สามคฺยรโต ธมฺมฏฺโฐ โยคกฺเขมา น ธํสตํ | พึงศึกษาความสามัคคี , ความสามัคคีนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลาย สรรเสริญแล้ว , ผู้ยินดีในสามัคคี ตั้งอยู่ในธรรม ย่อมไม่คลาดจาธรรมอันเกษมจาโยคะ | 
| วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา อวิวาทญฺจ เขมโต สมคฺคา สขิลา โหถ เอสา พุทฺธานุสาสนี | ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และ ความไม่วิวาทโดยความปลอดภัยแล้ว เป็นผู้พร้อมเพรียง มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพระพุทธานุศาสนี | 
| เอโส หิ อุตฺตริตโร ภาราวโห ธุรนฺธโร โย ปเรสาธิปนฺนานํ สยํ สนฺธาตุมรหติ | ผู้ใดเมื่อคนอื่นล่วงเกินกันอยู่ ตนเองกลับหาทางเชื่อมเขาให้คืนดีกันได้ ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นคนเอาภาระ เป็นผู้จัดธุระที่ดียอดเยี่ยม | 
| สเจปิ สนฺโต วิวทนฺติ ขิปฺปํ สนฺธียเร ปุน พาลา ปตฺตาว ภิชฺชนฺติ น เต สมถมชฺฌคู | ถ้าแม้นสัตบุรุษวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกันเหมือนชนะดิน เขาย่อมไม่ได้ความสงบเวรกันเลย | 
| หมวดที่ 17 “หมวดเกื้อกูลสังคม” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ธนํ จเช องฺควรสฺส เหตุ | พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ | 
| องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน | พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต | 
| องฺคํ ธนํ ชีวิตญจฺาปิ สพฺพํ จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต | พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ และ แม้ชีวิต เพื่อรักษาความถูกต้อง | 
| จเช มตฺตาสุขํ ธีโร | ผู้ฉลาดควรสละสุขเล็กน้อย เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม | 
| หมวดที่ 18 “หมวดพบสุข” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| น หึสนฺติ อกิญฺจนํ | ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครเบียดเบียน | 
| สุขิโน วตารหนฺโต | ท่านผู้ไกลกิเลส มีความสุขจริงหนอ | 
| สกิญฺจนํ ปสฺส วิหญฺญมานํ | คนมีห่วงกังวล ย่อมวุ่นวายอยู่ | 
| ยาวเทวสฺสหู กิญฺจิ ตาวเทว อขาทิสํ | ตราบใด ยังมีชิ้นเนื้อคาบไว้นิดหน่อย ตราบนั้น ก็ยังถูกกลุ้มรุมยื้อแย่ง | 
| หิรญฺญํ เม สุวณฺณํ เม เอสา รตฺตินฺทิวา กถา ทุมฺเมธานํ มนุสฺสานํ อริยธมฺมํ อปสฺสตํ | พวกมนุษย์ผู้อ่อนปัญญา ไม่เห็นอริยธรรม สนทนาถกเถียงกันทั้งวันทั้งคืน แต่ในเรื่องที่ว่า เงินของเรา ทองของเรา | 
| อตีตํ นานุโสจนฺติ นปฺปชปฺปนฺติ นาคตํ ปจฺจุปฺปนฺเนน ยาเปนฺติ เตน วณฺโณ ปสีทติ | ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส | 
| โสจํ ปณฺฑุกิโส โหติ ภตฺตญฺจสฺส น รุจฺจติ อมิตฺตา สุมนา โหนฺติ สลฺลวิทฺธสฺส รุปฺปโต | มัวเศร้าโศกอยู่ก็ซูบผอมลง อาหารก็ไม่อยากรับประทาน ศัตรูก็พลอยดีใจ ในเมื่อเขาถูกลูกศรแห่งความโศกเสียบแทงย่ำแย่อยู่ | 
| อนาคตปฺปชปฺปาย อดีตสฺสานุโสจนา เอเตน พาลา สุสฺสนฺติ นโฬว หริโต ลุโต | ชนทั้งหลายผู้ยังอ่อนปัญญา เฝ้าแต่ฝันเพ้อถึง สิ่งที่ยังไม่มาถึง และ หวนละห้อยถึงความหลังอันล่วงไปแล้ว จึงซูบซีดหม่นหมอง เสมือนต้นอ้อสดที่เขาถอนขึ้น ทิ้งไว้ในกลางแดด | 
| โย อตฺตโน ทุกฺขมนานุปุฏฺโฐ ปเวทเย ชนฺตุ อกาลรูเป อานนฺทิโน ตสฺส ภวนฺติ มิตฺตา หิเตสิโน ตสฺส ทุกฺขี ภวนฺติ | ผู้ใดพอใครถามถึงทุกข์ของตน ก็บอกเขาเรื่อยไป ทั้งที่มิใช่กาลอันควร ผู้นั้นจะมีแต่มิตรชนิดเจ้าสำราญ ส่วนผู้หวังดีต่อเขาก็มีแต่ทุกข์ | 
| ลาโภ อลาโภ ยโส อยโส จ นินฺทา ปสํสา จ สุขํ จ ทุกฺขํ เอเต อนิจฺจา มนุเชสุ ธมฺมา มา โสจิ กึ โสจสิ โปฏฺฐปาท | ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข และ ทุกข์ สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์ ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน อย่าเศร้าโศกเลย ท่านจะโศกเศร้าไปทำไม | 
| หมวดที่ 19 “หมวดทาน” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| ททมาโน ปิโย โหติ | ผู้ให้ ย่อมเป็นที่รัก | 
| ทินฺนํ โหติ สุนิพฺภตํ | ของที่ให้แล้ว ชื่อว่านำออกไปอย่างดีแล้ว | 
| อคฺคสฺส ทาตา ลภเต ปุนคฺคํ | ผู้ให้สิ่งที่เลิศ ย่อมได้สิ่งที่เลิศอีก | 
| วิเจยฺย ทานํ สุคตปฺปสตฺถํ | การเลือกให้ พระสุคตทรงสรรเสริญ | 
| ธีโร จ ทานํ อนุโมทมาโน | คนฉลาด พลอยยินดีการให้ทาง | 
| สพฺเพสํ สหิโต โหติ | คนดี บำเพ็ญประโยชน์แก่ปวงชน | 
| สนฺโต สตฺตหิเต รตา | คนดี ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น | 
| นิวตฺตยนฺติ โสกมฺหา | คนใจการุณ ช่วยแก้ไขคนให้หายโศกเศร้า | 
| นตฺถิ จิตฺเต ปสฺนมฺหิ อปฺปกา นาม ทกฺขิณา | เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ทักขิณาทานชื่อว่าน้อย ย่อมไม่มี | 
| สุขสฺส ทาตา เมธาวี สุขํ โส อธิคจฺฉติ | ปราชญ์ผู้ให้ความสุข ย่อมได้รับความสุข | 
| หมวดที่ 20 “หมวดศีล” | |
| พุทธศาสนสุภาษิต | คำแปล | 
| สีลํ โลเก อนุตฺตรํ | ศีล เป็นเยี่ยมในโลก | 
| สํวาเสน สีลํ เวทิตพฺพํ | ศีลพึงรู้ได้เมื่ออยู่ร่วมกัน | 
| สีลํ ยาว ชรา สีลํ | ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จตราบเท่าชรา | 
| สีลํ รกฺเขยฺย เมธาวี | นักปราชญ์พึงรักษาศีล | 
| สญฺญมโต เวรํ น จียติ | เมื่อคอยระวังอยู่ เวรย่อมไม่ก่อขึ้น | 
| สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร | ความสำรวมในที่ทั้งปวง เป็นดี | 
| สีลํ กิเรว กลฺยาณํ | ท่านว่าศีล เป็นความดี | 
| โย จ วสฺสสตํ ชีเว ทุสฺสีโล อสมาหิโต เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย สีลวนฺตสฺส ฌายิโน | ผู้ไม่มีศีล ไม่มั่นคง ถึงจะเป็นอยู่ตั้งร้อยปี , ส่วนผู้มีศีล เพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียวประเสริฐกว่า | 
| น เวทา สมฺปรายาย น ชาติ นปิ พนฺธวา สกญฺจ สีลสํสุทฺธํ สมฺปรายสุขาวหํ | เวทมนต์ ชาติกำเนิด พวกพ้อง นำสุขมาให้ในสัมปรายภพไม่ได้ ส่วนศีลของตนที่บริสุทธิ์ดีแล้ว จึงนำสุขมาให้ในสัมปรายภพได้ | 
| อุนฺนฬสฺส ปมตฺตสฺส พาหิราสสฺส ภิกฺขุโน สีลํ สมาธิ ปญฺญา จ ปาริปูรึ น คจฺฉติ | เมื่อภิกษุมีมานะ ประมาทแล้ว มีความหวังในภายนอก ศีล สมาธิ และ ปัญญา ย่อมไม่ถึงความบริบูรณ์ | 

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น